รู้จักระบบ TCAS 61
ระบบที่ใช้ในการคัดเลือกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2561 ใช้ชื่อว่า Thai University Central Admission System หรือ TCAS 61 เป็นระบบกลางในการบริหารจัดการการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของน้องๆ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 รอบ แต่ละรอบก็จะมีเงื่อนไขที่ต่างกัน ถ้าสอบติดในรอบไหนแล้วก็จะไม่สามารถสมัครในรอบต่อไปได้ โดยทั้ง 5 รอบประกอบไปด้วย
รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา
รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน
รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น
รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ
กำหนดการของระบบ TCAS 61
รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) รับตรงที่คัดเลือกโดยการใช้ Portfolio เป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ (ไม่มีการสอบข้อเขียน)
รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา
รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน
รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น
รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ
กำหนดการของระบบ TCAS 61
รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) รับตรงที่คัดเลือกโดยการใช้ Portfolio เป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษ (ไม่มีการสอบข้อเขียน)
รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน (โครงการรับตรงทั่วประเทศ กสพท รับตรงทั่วไป) สมัครผ่านระบบ TCAS
รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น
รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ
จำนวนรับในระบบ TCAS 61
รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) 44,258 ที่นั่ง
รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา 68,050 ที่นั่ง
รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน 44,390 ที่นั่ง
รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น 34,744 ที่นั่ง
รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ 15,064 ที่นั่ง
เก็บประเด็นงานแถลงข่าว
- ระบบ TCAS 61 เป็นระบบกลางที่ช่วยให้การบริหารจัดการการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย โดยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ลดการเดินทางสอบ ลดการได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบและอื่นๆ ลดช่องทางการเสียโอกาสในการสอบติดหลายที่และไม่เรียน และให้น้องๆ ได้ใช้เวลาในชีวิตมัธยมศึกษาให้มากที่สุด การสอบทั้งหมดจะเริ่มหลังจากที่เรียนจบ ม.6 แล้ว
- ระบบนี้ไม่ใช่ระบบเอนทรานซ์และไม่ใช่ระบบแอดมิชชั่น แต่เป็นระบบใหญ่ที่มีรอบแอดมิชชั่นเป็นส่วนหนึ่งของระบบ (คือ รอบที่ 4 นั่นเอง)
- การรับรอบที่ 1 รอบ Portfolio จะเป็นการสมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัย ใช้เป็นการสมัครแบบออนไลน์ อัพโหลดเอกสารและอาจจะมีการอัพโหลดความสามารถของตนเอง เช่น อัดคลิปการรำของตัวเอง ส่งให้โครงการรับตรงนั้นดู เป็นต้น
- การรับรอบที่ 2 โควตา (ไม่ได้รับทั่วประเทศ) สมัครที่มหาวิทยาลัย รอบนี้จะเน้นการใช้คะแนนกลาง (O-NET, GAT PAT, วิชาสามัญ) แต่สามารถจัดสอบวิชาเฉพาะเพิ่มเองได้ แต่ต้องไม่ใช่วิชาที่การสอบกลางมีอยู่แล้ว โดยการจัดสอบต้องอยู่ในช่วง 24 ก.พ. - 12 เม.ย.61 และต้องไม่ทับกับ 3 ข้อสอบกลาง คือ O-NET, GAT PAT และ 9 วิชาสามัญ (สามารถจัดสอบวันธรรมดาได้)
- โครงการ กสพท จัดอยู่ในรอบ 3 ซึ่งในรอบนี้ สามารถเลือกได้ 4 อันดับ โดย กสพท นับเป็น 1 อันดับ ซึ่ง 3 อันดับที่เหลือห้ามเลือกคณะทับซ้อนกันกับ กสพท เช่น เลือกแพทย์ 4 อันดับใน กสพท แล้ว จะมาเลือกแพทย์อีก 3 อันดับไม่ได้ (บังคับกลายๆ ว่าถ้าน้องๆ เลือกแพทย์ใน กสพท ไปแล้วก็ต้องลงแค่ใน กสพท)
- ถ้าติดรอบก่อนไปแล้ว เช่น ติดในรอบที่ 2 จะไม่สามารถสมัครในรอบต่อไป คือรอบที่ 3 ได้ เว้นแต่ว่าจะสละสิทธิ์ก่อนที่ ทปอ. จะส่งรายชื่อให้มหาวิทยาลัย (ต้องสละสิทธิ์ให้ทันเวลาของระบบ ซึ่งการสละสิทธิ์ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย )
- เด็กซิ่วมีสิทธิ์เท่ากับเด็ก ม.6 ปี 61 จะสมัครโครงการไหนก็ได้ ต้องยึดตามระเบียบการของแต่ละมหาวิทยาลัย
ทำไมต้องปรับ?
เนื่องจากในหลายปีที่ผ่านมา กว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นต้องผ่านการสอบหลายครั้ง ทั้งการสอบข้อสอบกลางอย่าง GAT-PAT, 9 วิชาสามัญ และ O-Net ที่จัดตลอดทั้งปี อีกทั้งบางมหาวิทยาลัยก็มีการจัดสอบตรงของตนเอง และมีการรับที่หลายรอบเกินไป เกิดการวิ่งสอบและกันที่เกิดขึ้น รวมทั้งเงินค่าสมัครและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เสียซ้ำซ้อนและมากเกินไปนั่นเอง..
“โดยยึดหลักการให้เด็กอยู่ในห้องเรียนจนจบการศึกษา ไม่เกิดปัญหาการวิ่งรอกสอบ ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายกับผู้ปกครอง เด็กมีสิทธิ์ที่เลือกเรียนตามที่ต้องการ ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเด็กได้เช่นกัน”
“โดยยึดหลักการให้เด็กอยู่ในห้องเรียนจนจบการศึกษา ไม่เกิดปัญหาการวิ่งรอกสอบ ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายกับผู้ปกครอง เด็กมีสิทธิ์ที่เลือกเรียนตามที่ต้องการ ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเด็กได้เช่นกัน”
ปรับอะไรบ้าง?
การสอบทั่วไป
สำหรับบรรดาการสอบของข้อสอบกลางทั้งหมดจะเลื่อนไปสอบหลังน้องๆ จบชั้น ม.6 ทั้งหมด โดยจัดสอบในเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 ทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยมีกำหนดการดังนี้ :
สัปดาห์ที่ | วันสอบ | รายการสอบ | จัดสอบโดย |
---|---|---|---|
1 | 24 – 27 กุมภาพันธ์ 2561 | GAT / PAT ปีการศึกษา 2561 | สทศ |
2 | 3 – 4 มีนาคม 2561 | O-NET ม.6 ปีการศึกษา 2560 | สทศ |
4 | 17 – 18 มีนาคม 2561 | 9 วิชาสามัญ ปีการศึกษา 2561 | สทศ |
3, 5, 6, 7 | 24 กุมภาพันธ์ – 12 เมษายน 2561 | กสพท. และ วิชาเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย | มหาวิทยาลัยต่างๆ หรือองค์กรที่จัดสอบ |
และพิเศษ! ทาง ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย) ได้มีการเพิ่ม ภาษาเกาหลี เป็นภาษาเพิ่มเติมในการสอบ PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศอีกด้วย โดยจะจัดสอบครั้งแรกในการสอบ GAT-PAT ปีการศึกษา 2561
ทุกรอบมี “เคลียริ่งเฮาส์” (Clearing House)
เนื่องจากปัญหาในหลายๆ ปีที่ผ่านมาที่มีปัญหาวิ่งสอบ แล้วกั๊กที่นั่งเรียนทำให้คนอื่นเสียสิทธิ์ไป ในระบบการคัดเลือกใหม่ ดังนั้นในระบบการคัดเลือกใหม่ ทาง ทปอ. จึงขอความร่วมมือให้ทุกมหาวิทยาลัยต้องเข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์ในทุกรอบ เพื่อให้น้องๆ กดยืนยันสิทธิ์การศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นๆ หลังสอบรอบนั้นๆ เสร็จ และเมื่อกดยืนยันในรอบนั้นๆ แล้วจะไม่สามารถสมัครสอบใหม่ในรอบอื่นๆ ได้อีกนั่นเอง
รอบที่ | ประเภทการรับ | วันที่ต้องยืนยันสิทธิ์เคลียริ่งเฮาส์ |
---|---|---|
รอบที่ 1 | ยื่นด้วยแฟ้มสะสมผลงาน | ครั้งที่ 1 : 15-19 ธันวาคม 2560 |
ครั้งที่ 2 : 19-22 มีนาคม 2561 | ||
รอบที่ 2 | รับแบบโควต้า | 3-6 พฤษภาคม 2561 |
รอบที่ 3 | การรับตรงร่วมกัน | 26-28 พฤษภาคม 2561 |
รอบที่ 4 | รับแบบแอดมิชชั่น | ไม่มีเคลียริ่งเฮาส์ |
รอบที่ 5 | การรับตรงอิสระ | ไม่มีเคลียริ่งเฮาส์ |
แล้วถ้าจะเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎ หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล่ะ ?
สำหรับน้องๆ ที่ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฎ หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จะเข้าร่วมการคัดเลือกในการสมัครรอบที่ 1-3 และรอบที่ 5 แต่จะไม่มีกาสอบรอบแอดมิชชั่น เพราะมหาวิทยาลัยทั้ง 2 กลุ่มนั้นเปิดภาคเรียนแล้วนั่นเอง!
ถ้าจบจากต่างประเทศ ?
สำหรับน้องๆ ที่จบหลักสูตรจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย หรือ จบการศึกษาจากต่างประเทศ ทางกระทรวงศึกษาธิการประกาศแล้วว่าไม่ต้องเทียบวุฒิการศึกษา สามารถสมัครเรียนต่อตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดได้
สำหรับน้องๆ หลักสูตรนานาชาติหรือจบจากต่างประเทศ สามารถสมัครสอบเข้าได้ 3 รูปแบบ คือ
- ในรอบที่ 1 แบบที่ไม่มีการสอบเพิ่มเติม : อาจเป็นการยื่นคะแนนทางวิชาการ IELTS, TOEFL, SAT เป็นต้น และมีมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
- หรือ สามารถสมัครในรอบที่ 3 หรือรอบที่ 5 ได้ โดยต้องมีการสอบเพิ่มเติม หรือมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
- หรือ สามารถสมัครในรอบที่ 4 ได้ แต่ต้องมีคะแนนและใช้องค์ประกอบคะแนนตามที่กำหนด
ที่มาของข้อมูล : https://seniorswu.in.th/2017/tcas-admission/
ที่มาของรูป : https://image.dek-d.com/27/0098/4655/123996286
ที่มาของรูป : https://pbs.twimg.com/media/DGtC0GAUQAECS6_.jpg
ที่มาของรูป : https://pbs.twimg.com/media/DBoo7nSV0AAOKa-.jpg
ที่มาของรูป : https://pbs.twimg.com/media/DIfM-jCWsAAd9MH.jpg
TCAS 61
ที่มา : https://youtu.be/phBTetURvJs
ที่มา : https://youtu.be/eOKmwfGzkH4
กสพท. 61
ที่มา : https://youtu.be/-bTIbMMGMfc
รวมข้อสอบ 9 วิชาสามัญ
https://campus.campus-star.com/education/24168.html
รวมข้อสอบ GAT PAT , 9 วิชาสามัญ , O-NET
https://www.slideshare.net/9gatpat/documents
รวมข้อสอบคณิตศาสตร์ พร้อมเฉลย
http://rathcenter.com/index.html
คลังความรู้
โรคไหลตาย
โรคไหลตาย มีสาเหตุที่สำคัญคือภาวะร่างกายขาดแร่ธาตุโพแทสเซียม ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นและเสียชีวิตในที่สุด ปัจจัยที่เกี่ยวข้องของโรคมี 2 ประการด้วยกัน ได้แก่ การบริโภคอาหารที่มีสารพิษวันละเล็กน้อย จนเกิดการสะสมและเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ปัจจัยต่อมาคือการขาดสารอาหารที่เป็นวิตามินบี 1 อย่างรุนแรงเฉียบพลัน ทำให้คนที่แข็งแรงอยู่ดีๆ รู้สึกอ่อนเพลียและอยากนอน เมื่อหลับแล้วก็หัวใจวายตายเกือบจะทันที โดยโรคนี้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาวะทุพโภชนาการ และสุขนิสัยการกินที่ผิด
กลไกการเกิดภาวะโรคไหลตาย อธิบายได้ดังนี้ โดยปกติแล้วการเต้นของหัวใจคนเรานั้นเกิดขึ้นจากไฟฟ้า ซึ่งไฟฟ้าเกิดจากเกลือแร่ที่วิ่งเข้าออกระหว่างเซลล์ตลอดเวลา โดยเกลือแร่ที่ทำให้เกิดไฟฟ้ามีหลายชนิด เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม เป็นต้น ซึ่งต้องวิ่งเข้าออกบริเวณที่เปรียบเสมือนประตู แต่ในคนที่เกิดภาวะไหลตายนั้นพบว่าประตูที่ทำให้โซเดียมเข้าออกเซลล์นั้นมีน้อยกว่าคนปกติ เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นแต่กำเนิด และเป็นสาเหตุในระดับเซลล์ คนกลุ่มนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเกี่ยวกับอาหารการกิน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไหลตาย
การเกิดภาวะไหลตายเกี่ยวข้องกับการเต้นระริกของหัวใจ ที่เราพบในคนไข้ไหลตายนั้นเกิดจากหัวใจห้องล่าง ซึ่งปกติเป็นปั๊มหลักคอยบีบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เมื่อประตูหัวใจห้องล่างเกิดไฟฟ้าลัดวงจรทำให้มีการเต้นไม่สม่ำเสมอของหัวใจห้องล่าง เกิดไฟฟ้ามากระตุ้นให้เป็นจุดเล็กๆ และแทนที่หัวใจห้องล่างจะบีบตัวโครมๆ เพื่อเอาเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ก็บีบตัวไม่ได้และสั่นระริกๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงร่างกายและสมองไม่เพียงพอ ภายใน 30 วินาทีจะเป็นลมหมดสติ 4 นาทีต่อมาถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นสมองจะตาย และภายใน 6-7 นาที ถ้ายังไม่หายก็จะเสียชีวิตในที่สุด
อาการแสดงของภาวะเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายและสมองไม่เพียงพอ คือเกิดการเกร็งของแขนและขา หายใจเสียงดังจากการมีเสมหะในหลอดลม บางรายปัสสาวะและอุจจาระราด เพราะสูญเสียการควบคุมของระบบประสาทโดยอัตโนมัติ ผู้ป่วยจะมีใบหน้าและริมฝีปากเขียวคล้ำ จากนั้นจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการกู้ชีพที่มีประสิทธิภาพ หรือไม่มีการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจให้กลับมาทำงานเป็นปกติ เพื่อหยุด BF ให้เร็วที่สุด แต่บางครั้ง BF ก็อาจหยุดเองได้และผู้ป่วยสามารถรอดตายได้เช่นกัน แต่สมองอาจพิการถาวรหากขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน
การรักษาโรคไหลตายในทางการแพทย์มี 2 วิธี ได้แก่ การใช้ยาและการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ โดยในการให้ยานั้นขึ้นอยู่กับอาการโรคไหลตายว่ารุนแรงแค่ไหน หากรุนแรงมาก การใช้ยารักษาก็อาจไม่ได้ผล และต้องใช้วิธีฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจเข้าไปในร่างกายแทน
คนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็นโรคไหลตายในวันปกติจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น แต่ในวันร้ายคืนร้าย กล่าวคือ ในวันพักผ่อนน้อย ดื่มเหล้า หรือใช้สารเสพติด รวมถึงยาบางอย่างหรือในวันที่ไม่สบาย อาจทำให้อาการไหลตายเกิดขึ้นและเสียชีวิตกระทันหันในวันเหล่านั้น
วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ เพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้ผู้ที่เคยตกอยู่ในภาวะไหลตายสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ การดูแลหลังการรักษานั้นต้องหลีกเลี่ยงการกดบริเวณหัวไหล่ ไหปลาร้าข้างที่ใส่เครื่อง เพราะอาจทำให้สายหัก ทั้งนี้ด้านอาหารการกินยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน รับประทานอาหารที่สะอาดถูกหลักอนามัย และรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารเพียงพอต่อร่างกายโดยเฉพาะวิตามินบี ที่สำคัญควรรับประทานอาหารที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือดอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ถั่วดำ ถั่วแระ เต้าหู้ เป็นต้น
การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะไหลตาย คือจับผู้ป่วยนอนราบ ระหว่างรอรถพยาบาลหรือรอคนมาช่วยให้ประเมินผู้ป่วย หากพบว่าไม่หายใจหรือชีพจรที่คอไม่เต้น ให้กดหน้าอกยุบลงราว 1.5 นิ้ว แล้วปล่อยให้คลายตัวเป็นชุด ในความถี่ราว 100 ครั้งต่อนาทีโดยไม่หยุดจนกว่าจะถึงมือแพทย์หรือจนกว่าผู้ป่วยจะรู้ตัว และไม่ควรเสียเวลาโดยไม่จำเป็น เช่น งัดปากคนไข้ด้วยของแข็งเพราะอาจเป็นอันตราย และให้ระลึกเสมอว่าคนที่เป็นโรคไหลตายอาจจะมีโรคอื่นของสมอง เช่น ลมชัก โรคหัวใจ ที่อาจเป็นเหตุให้หมดสติได้เช่นกัน
ที่มาของข้อมูล : https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/
การทำ CPR
Cardiopulmonary Resuscitation หรือเรียกง่าย ๆ ว่า CPR คือ การปฐมพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นให้กลับมาหายใจ และมีการไหลเวียนออกซิเจนรวมทั้งเลือดกลับคืนสู่สภาพเดิม พร้อมทั้งป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ได้รับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอย่างถาวร โดยเราสามารถทำการฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานให้ผู้ประสบเหตุได้โดยการกดหน้าอกและช่วยหายใจ
ทั้งนี้ ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิต ซึ่งอาจเกิดได้จากการเป็นโรคหัวใจ, ออกกำลังกายมากเกินไป, ตกใจหรือเสียใจกะทันหัน, จากการสูญเสียเลือดมาก, เลือดมาเลี้ยงหัวใจไม่ทัน, ทางเดินหายใจอุดกั้น รวมทั้งอาจเกิดจากการได้รับยาเกินขนาดหรือแพ้ยา
ดังนั้นจึงมีการบัญญัติ "ห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิต" (Chain of Survival) เพื่อเป็นหลักการช่วยฟื้นคืนชีพแนวทางเดียวกันทั่วโลกและเป็นข้อตกลงร่วมกันในการปฏิบัติ ประกอบด้วย
1. การประเมินผู้ป่วยว่ายังรู้สึกตัวอยู่หรือไม่ หากไม่มีสติ คลำหาชีพจรไม่พบ ควรเรียกขอความช่วยเหลือหรือเรียกบริการการแพทย์ฉุกเฉินจากหน่วยงานต่าง ๆ ทันที เช่น ศูนย์เอราวัณ (เฉพาะในพื้นที่ กทม.) โทร. 1646, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร. 1669 (ทั่วประเทศ)
2. การกดหน้าอกอย่างถูกต้องและทันท่วงที (ทำ CPR)
3. การทำการช็อกไฟฟ้าหัวใจ (AED) ภายใน 3-5 นาที เมื่อมีข้อบ่งชี้
4. การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
5. การดูแลภายหลังการช่วยฟื้นคืนชีพ
สำหรับอาการของผู้บาดเจ็บที่ควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยการทำ CPR สามารถสังเกตได้ดังนี้ 1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
2. ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก
3. หัวใจหยุดเต้น
2. ไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก
3. หัวใจหยุดเต้น
ที่มาของข้อมูล : https://health.kapook.com/view174233.html
ที่มา : https://youtu.be/omENUtbbEJA
เสริมกำลังใจ
ที่มาของข้อมูล : https://thaiodb.org/2016ผมชอบดูนกที่กำลังเล่นกัน ผมจึงสร้างบ้านนกไว้ที่สวนหลังบ้านให้นกมาทำรัง นานหลายเดือนที่ผมเฝ้าดูพวกมันกินอาหารและโผบินไปมา จนกระทั่งมีเหยี่ยวมารุกรานบ้านนกของผม
ชีวิตก็เป็นแบบนี้ เมื่อใดที่เราลงหลักปักฐานเริ่มจะได้ผ่อนคลาย ก็จะมีบางคนหรือบางสิ่งมาทำให้วุ่นวาย จนเราเฝ้าถามว่าทำไมชีวิตช่างเหนื่อยยากนัก ผมเคยได้ยินคำตอบของคำถามนี้มาไม่น้อย แต่ผมชอบคำตอบที่ว่า “ความทุกข์ยากทั้งหลายในโลกล้วนแต่เพื่อให้เราเป็นดังเด็กน้อย ที่พระเจ้าจะทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่ เรา” (จากหนังสือสาระแห่งชีวิต โดยจอร์จ แมคโดนัลด์) เมื่อเราเป็นเหมือนเด็กๆ เราจะไว้วางใจ พักสงบในความรักของพระบิดาในสวรรค์ และแสวงหาที่จะรู้จักและเป็นเหมือนพระองค์ความกังวลและโศกเศร้าอาจติดตามเราไปตราบเท่าที่เรามีชีวิต แต่ “เราจึงไม่ย่อท้อ…เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็นเพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์” (2 โครินธ์ 4:16-18)ข้าแต่พระเจ้า เราชื่นชมยินดีแม้ในความยากลำบากเพราะเรายินดีในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และน้ำพระทัยอันดีเลิศในชีวิตเรา พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจเปี่ยมด้วยความรัก ปกป้องและทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์ เรารักและวางใจในพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น